Erectile dysfunction คือภาวะหย่อนสมรรถภาพ หรือเสื่อมสมรรถภาพซึ่งส่วนใหญ่กว่า 70% มักเกิดจากเส้นเลือดที่มาเลี้ยงองคชาติเริ่มมีการเสื่อมสมรรถภาพตามกาลเวลา โรคประจำตัวต่างๆ หรือการสูบบุหรี่ โดยทั่วไปการแข็งตัวขององคชาต เริ่มจากร่างกายหรือจิตใจมีความต้องการในการมีเพศสัมพันธ์จะไปกระตุ้นให้สมอง สั่งการไปที่ระบบประสาท แล้วระบบประสาทนั้นจะไปกระตุ้นให้เส้นเลือดแดงเกิดการขยายตัว เลือดจะไปขังที่องคชาตทำให้เกิดการแข็งตัว ซึ่งหากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงองคชาตมีความผิดปกติจะทำให้แข็งตัวได้น้อยหรือไม่แข็งตัวเลยจนไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ
ERECTILE DYSFUNCTION การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เกิดจาก 4 ปัจจัย 1.ฮอร์โมนเพศชาย 2.เส้นประสาท 3.เส้นเลือดที่มาเลี้ยงองคชาต 4.ภาวะจิตใจ.ซึ่งการแข็งตัวขององคชาติต้องมีปัจจัยทั้ง 4 ร่วมกันทำงาน จึงจะสามารถแข็งตัวและสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปก
1. ยากลุ่ม PDE5i : Cialis(5mg) , sildenafil
การให้ยากลุ่มไวอะกร้าเป็นการรักษาเบื้องต้นของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศซึ่งควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
การรักษาโดยการใช้ยารับประทาน โดยจะต้องรับประทานก่อนมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง และยาในกลุ่มนี้ผลข้างเคียง เช่น ใจสั่น ปวดศีรษะ เห็นแสงวูบวาบ คัดจมูก
2. อาหารเสริม NO donor : : L-citruline, Arginine , VitC, Zinc, Oyster essence
อาหารเสริมที่เป็นกลุ่มสารที่ช่วยในกระบวนการของการแข็งตัวของน้องชาย
3. Hormone replacment : Testosterone
ในคนไข้บางคนที่มีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ อาจมีสาเหตุมาจากฮอร์โมนเพศชายต่ำซึ่งในบางรายต้องให้ฮอร์โมนเพศชายเพื่อทดแทนภาวะฮอร์โมนต่ำ จะทำให้การรักษาเรื่องหย่อยสมรรถภาพทางเพศดีขึ้น
4. Vacuum erection device
เป็นการใช้กระบอกสุญญากาศครอบที่อวัยวะเพศ หลังจากนั้นก็สูบอากาศออกจากท่อ ทำให้เลือดเข้าไปในอวัยวะเพศจนอวัยวะเพศแข็งตัวได้ดี หลังจากนั้นจึงใช้ยางรัดเพื่อไม่ให้เลือดไหลออก
5. Shockwave therapy
เป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ ซึ่งการสร้างเส้นเลือดใหม่นี้จะทำให้เลือดเข้าสู่องคชาตดียิ่งขึ้น ส่งผลให้การแข็งตัวดีขึ้นด้วย โดยการทำ Shock Wave Therapy จะให้ผลที่ยาวนานกว่าเพราะมีการสร้างเส้นเลือดใหม่เกิดขึ้น
6. Regenerative medicine :
-PRP= P-Shot เป็นเทคนิคที่ใช้เกร็ดเลือดของผู้ป่วยเอง ฉีดเข้าสู่อวัยวะเพศโดยตรง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดขึ้นมาใหม่ ให้ผลคล้ายคลึงกับการทำ Shock Wave Therapy ซึ่งยังเป็นการรักษาใหม่ในปัจจุบัน -Stem cells